โฆษณาแนวนอน728*90

บทความใหม่

ประวัติและวัตถุมงคลหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค(วัดตรีจินดาวัฒนาราม) เจ้าของอมตะวาจา อยากได้ไปหยิบเอา แห่งลุ่มน้ำแม่กลอง

หลวงพ่อเพชร (ปุญญวชิโร) วัดไทรโยค หรือ วัดตรีจินดาวัฒนาราม

         หลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค หรือ พระอธิการเพชร (ปุญฺญวชิโร) วัดตรีจินตาวัฒนาราม ตำบลบางกุ้ง อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม

         หลวงพ่อเพชรท่านเป็นผู้สร้างพระปิดตาเนื้อผงคลุกรัก เป็นพระหายากที่น้อยคนนักจะรู้ รวมทั้งยังเป็นผู้ที่นำยันต์นาคเกี้ยวจากพม่ามาเก็บรักษาไว้ที่วัดจนถึงสมัยหลวงพ่อเล็กจึงจัดสร้างเหรียญนาคเกี้ยวอันโด่งดังอีกด้วย 

         นอกจากนี้หลวงพ่อเพชร ท่านยังเป็นพระเกจิอาจารย์ยุคเก่าของลุ่มน้ำแม่กลองที่เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อดังๆ ในเขตลุ่มน้ำแม่กลองหลายองค์เลยทีเดียว

         หลวงพ่อเพชร หรือพระอธิการเพชร วัดไทรโยค เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๑๒ ปีชวด ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๙๕ ที่บ้านวัดกลาง ตำบลบางแขยง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี โยมบิดาชื่อนายทอง แต่ไม่ปรากฏชื่อของโยมมารดา

         เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดกลางใต้ ตำบลไทรโยค (ตำบลบางกุ้งในปัจจุบัน) อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม 

ภาพถ่ายหลวงพ่อเพชร (ปุญญวชิโร) วัดไทรโยค หรือ วัดตรีจินดาวัฒนาราม
หลวงพ่อเพชร (ปุญญวชิโร) วัดไทรโยค หรือ วัดตรีจินดาวัฒนาราม

         หลังบรรพชาได้ศึกษาเล่าเรียนวิชา กับพระอธิการดอนเจ้าอาวาส เป็นระยะเวลา ๑ พรรษา จากนั้นจึงไปเรียนวิชากับพระมหาขำ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ กรุงเทพมหานคร

          ปี พ.ศ. ๒๔๑๕ หลวงพ่อเพชร เมื่อมีอายุครบอุปสมบทได้กลับมาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดกลางใต้ เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก พ.ศ. ๒๔๑๕ ได้รับฉายาว่า "ปุญฺญวชิโร" โดยมี

         พระอธิการกลัด วัดบางพรหม เป็นพระอุปัชฌาย์ 

         พระอธิการเที่ยง วัดสามจีน(วัดตรีจินดาวัฒนาราม) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ 

         พระอธิการนุ่ม วัดกลางใต้ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

         หลังจากอุปสมบทแล้ว หลวงพ่อเพชรได้จำพรรษาที่วัดกลางใต้ เป็นเวลา ๒ พรรษา จากนั้นได้ติดตามพระอธิการเที่ยง ที่ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสามจีน (วัดตรีจินดาวัฒนาราม) 

         แต่อยู่จำพรรษาได้ไม่นานนัก หลวงพ่อเพชรก็กราบลาพระอธิการเที่ยง เดินทางเข้ามาศึกษาในกรุงเทพมหานคร ยังสำนักเดิม คือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ 

         ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พระอธิการเที่ยงมรณภาพ พระเทศผู้เป็นน้องชายของหลวงพ่อเที่ยง จึงทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสปกครองวัดต่อจากพี่ชาย เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการฌาปนกิจแล้วจึงได้ลาสิกขา

         ปี พ.ศ. ๒๔๓๕ หลวงพ่อเพชรจึงเดินทางกลับมาร่วมงานฌาปนกิจของหลวงพ่อเที่ยง ด้วยวัตรปฏิบัติอันงดงามของหลวงพ่อเพชร ชาวบ้านและคณะสงฆ์ จึงนิมนต์ให้ท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสามจีนสืบต่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง

วัดตรีจินดาวัฒนาราม จ.สมุทรสงคราม

         วัดตรีจินดาวัฒนาราม เป็นวัดราษฏร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๑ บ้านวัดตรี หมู่ที่ ๔ ตำบลบางกุ้ง อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ ๑๓ ไร่ ๒ งาน ๔๘ ตารางวา

         วัดตรีจินดาวัฒนาราม ตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๘ เดิมชื่อ "วัดใหม่สามจีน" เพราะมีชาวจีน ๓ คน คือ ขุนศรีโสภณ (เส็ง แซ่ตัน) ขุนท่องวารี (โป๊ แซ่ตัน) และขุนมณีพาณิช (ฮก แซ่ตัน) เป็นผู้ร่วมกันริเริ่มสร้างวัด

         เมื่อสร้างวัดเสร็จได้นิมนต์พระอธิการด้วง จากวัดกลางใต้ มาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัด ซึ่งหลวงพ่อด้วง นั้นท่านเป็นพี่น้องกับขุนทั้ง ๓ คน โดยลูกคนที่ ๒ บวชที่วัดบางสะแก

         ชาวบ้านมักเรียกว่า วัดไทรโยค เพราะตั้งอยู่ปากคลองไทรโยค ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ พระครูสุตาสาร (เล็ก ปุสฺสเทโว) เป็นเจ้าอาวาสได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ "วัดตรีจินดาวัฒนาราม" ซึ่งใช้เรียกมาจนถึงปัจจุบัน

         ภายในวัดมีพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๒.๗๗ เมตร สูงจรดพระเมาฬี ๓.๖๗ เมตร เดิมประดิษฐานอยู่ในอุโบสถวัดกลางใต้ ได้อัญเชิญมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๔

         วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๙ มีเจ้าอาวาสปกครองวัดเท่าที่ทราบนามดังนี้

         ๑. พระอธิการด้วง (แซ่ตัน)

         ๒. พระรอด (หลานพระอธิการด้วง รักษาการ ๑ ปี ลาสิกขา)

         ๓. พระอุปัชฌาย์เที่ยง (อาราธนามาจากวัดกลางใต้)

         ๔. พระเทศ (น้องชายหลวงพ่อเที่ยง รักษาการ ๒ - ๓ ปี ลาสิกขา)

         ๕. พระอุปัชฌาย์เพ็ชร ปุญฺญวชิโร

         ๖. พระครูสุตสาร (เล็ก ปุสฺสเทว) 

         ๗. พระครูจินดาสมุทรคุณ (ภมร กมโล)

         ๘. พระสมุห์ปรีชา อคฺคปญฺโญ

วิหารวัดตรีจินดาวัฒนาราม
 
          หลังจากที่หลวงพ่อเพชรได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้พัฒนาวัดอย่างสุดความสามารถ ทั้งการสร้างเสนาสนะและถาวรวัตถุต่างๆ จนวัดเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ

         หลวงพ่อเพชร ท่านทำให้วัดสามจีนรุ่งเรืองมาก เพราะท่านเป็นนักศึกษาจึงมีความรู้มาก ท่านได้นำขนบธรรมเนียมแบบแผนของวัดมหาธาตุที่ไม่ขัดกับประเพณีท้องถิ่นมาใช้ เช่น ไหว้พระ เช้า-ค่ำ ก็ใช้ว่าแบบมคธ การสวดพระปาติโมกข์ก็ว่าสัมมัชชนีองค์เดียว เป็นต้น แต่การห่มผ้ายังคงเดิม

         ท่านเป็นอาจารย์สอนหนังสือใหญ่ (บาลีแบบเก่า) และยังเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน

         ปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ขณะมีอายุ ๖๓ พรรษา ๕๐

         ในด้านการสาธารณูปการ ในสมัยที่ท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาสเสนาสนะที่สร้างไว้เดิมได้ชํารุดทรุดโทรม เพราะถูกภัยธรรมชาติ 

         ท่านก็ได้ปฏิสังขรณ์เป็นอย่างๆ ไป โดยมีผู้มีศรัทธาถวายเรือนมาปลูกเป็นกุฏิก็หลายหลัง ได้จัดการซื้อที่ดินของนายฮวด นางชิต ประจํากิจ ซึ่งต่อกับที่ดินของวัด เพื่อปลูกศาลาการเปรียญใหม่เป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท

         ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ หลังจากจัดซื้อที่ดินแล้ว ท่านจึงได้สร้างศาลาการเปรียญใหม่ในที่นั้น สิ้นเงิน ๒,๐๐๐ บาทเศษ

         ปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ท่านได้สร้างหอระฆังอีก ๑ หอ แต่ยังไม่ทันเสร็จก็มรณภาพลงเสียก่อน

รูปหล่อเท่าองค์จริงหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค (วัดตรีจินดาวัฒนาราม) สร้างปี พ.ศ. ๒๔๘๒

         หลวงพ่อเพชรได้ชื่อว่าเป็นผู้สอนวิปัสสนากรรมฐาน และพระปริยัติธรรม ที่มีชื่อเสียง หลวงพ่อมักได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์และแสดงธรรมอยู่บ่อยๆ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ลูกศิษย์ที่ศึกษาร่ำเรียนวิชาจากท่านในกาลต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดดังหลายรูป เช่น

         พระครูสุตสาร (เล็ก ปุสฺสเทโว) วัดตรีจินดาวัฒนาราม

         พระครูสมุทรสุธี (สุพจน์ ธมฺมสโร) วัดกลางเหนือ (หลาน)

         พระครูบุญศิริวัฒน์ (ไป๋) วัดปรกรังสฤษดิ์

         พระอธิการพับ วัดบางกล้วย

         พระครูพิชิตสมุทรการ (ศักดิ์ ฐิตธมฺโม) วัดไทร

         พระอาจารย์สืบ วัดกุฎีทอง

         คนเฒ่าคนแก่เล่าสืบต่อกันมาว่า ในบรรดาวัตถุมงคลที่ท่านขึ้นมาแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหานั้น ตะกรุด ถือเป็นเครื่องรางของขลังที่หลวงพ่อสร้างขึ้นเป็นลำดับแรกๆ เพราะวัตถุในการสร้าง ตลอดจนขั้นตอนไม่ยุ่งยากมากมายเหมือนการสร้างพระเครื่อง 

         โดยตะกรุดของหลวงพ่อเพชร เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านจะใส่ไว้ในบาตรน้ำมนต์ขนาดใหญ่ โดยท่านได้กล่าวไว้ว่า "ของกูทำไว้ดี ใครอยากได้ไปหยิบเอา" 

         ซึ่งผู้ที่มาขอตะกรุดจากท่านมีจำนวนมาก โดยแต่ละคนต้องควานมือลงไปหยิบในบาตรน้ำมนต์เอาเอง แต่บางคนไม่สามารถหยิบขึ้นมาได้ ทั้งที่ในบาตรฯ นั้นใส่ตะกรุดไว้หลายดอกทีเดียว นับเป็นเรื่องที่อัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

         หลวงพ่อเพชร หรือ พระอธิการเพชร ปกครองวัดเรื่อยมาจนถึงแก่มรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๒ นับรวมสิริอายุได้ ๗๗ ปี ๕๗ พรรษา.

วัตถุมงคลของหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค

         พระปิดตาหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค

         สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ลักษณะเป็นพระปิดตารูปทรงห้าเหลี่ยมขนาดเล็ก เป็นพระปิดตาเนื้อผงคลุกรัก เท่าที่พบเห็นอยู่ด้วยกัน ๒ สี คือสีดำ และน้ำตาลแก่ สมัยก่อนพวกเซียนพระพบเจอแลัวไม่ทราบว่าเป็นของท่าน จึงนิยมเอาไปยัดว่าเป็นของหลวงพ่อศุข วัดปากคลองฯ ด้วยเหตุที่พระมีอายุเก่าและยังขายได้ราคาดีอีกด้วย

พระปิดตาหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค เนื้อผงคลุกรัก

         ด้านหน้า เป็นรูปพระปิดตา ภควัมปติ ประทับนั่งบนฐานเขียง

         ด้านหลัง เรียบไม่มีอักขระใดๆ

         เหรียญหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค รุ่นแรก

         สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มข้างเลื่อยรูปใบสาเกแบบมีหูในตัว แม้จะสร้างขึ้นหลังจากที่หลวงพ่อเพชรมรณภาพไปแล้ว ๑๐ ปี โดยได้จัดสร้างขึ้นเมื่อคราวหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อเพชรเท่าองค์จริงไว้เป็นที่สักการะของชาวบ้าน แต่ก็ได้พระเกจิที่เก่งกาจในสมัยร่วมปลุกเสก มีการสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ไว้สำหรับแจกจ่ายและร่วมทำบุญในงานวัดดังกล่าว จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
เหรียญหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค รุ่นแรก ปี 2482-ผิวไฟ
เหรียญหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เนื้อทองแดง
เหรียญหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เนื้อทองแดง

         ด้านหน้า เป็นรูปเหมือนหลวงพ่อเพชร นั่งเต็มรูป ด้านบนรูปเหมือนเป็นอักขระขอมอ่านได้ว่า "นิมิตตัง สาธุรูปนัง กตัญญูกตเวทิตา"’ ด้านล่างรูปเหมือนเป็นอักษรไทยว่า "หลวงพ่อวัดไทรโยค ปุญฺญชรเพ็ชร พ.ศ. ๒๔๘๒"

         ด้านหลัง แกะเป็นลวดลายมณฑปครอบ บรรจุอักขระขอมว่า "อะระหัง ติตัง วิปัสสนา นิ พา ระนัง อาระ ราโหติ"

         ในการปลุกเสกเหรียญรุ่นนี้ ทางวัดได้นิมนต์​พระเกจิอาจารย์ดังหลายรูป ที่มีบันทึกไว้และสามารถสืบค้นได้มีดังนี้

         หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานในพิธี 
         หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม 
         หลวงพ่ออ่วม วัดไทร 
         หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ 
         หลวงพ่อเหมือน วัดกลางเหนือ 
         หลวงพ่อเลี้ยง วัดเกาะใหญ่ 
         หลวงพ่อทองสุข วัดราษฎร์บูรณะ 
         หลวงพ่ออาน วัดกลางบางแขยง 
         และหลวงพ่อเหรียญ วัดลาดหญ้า

         มาร่วมปลุกเสกอย่างคับคั่ง​ เรื่องพุทธคุณดีเด่นทาง คลาดแคล้ว คงกระพัน ตามตำหรับพระสายแม่กลอง เป็นที่เสาะแสวงหาของชาวแม่กลองเป็นอย่างยิ่ง.

         เหรียญหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค รุ่น ๒

         สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ในสมัยของหลวงพ่อแช่ม เป็นเจ้าอาวาส ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มตัดขอบ รูปใบสาเกแบบมีหูในตัวแบบเหรียญรุ่นแรก แต่ให้วิธีการแกะบล็อคใหม่ทั้งหน้าและหลัง ปัจจุบันเล่นหาสับสนเป็นเหรียญรุ่นแรกไปแล้ว เช่าหาระวังผิดราคา เหรียญนี้มีการสร้างด้วยเนื้อทองแดงกระไหล่ทอง และเนื้อทองแดงผิวไฟเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้

เหรียญหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค รุ่น2 ปี 2512
เหรียญหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค รุ่น ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เนื้อทองแดงกระไหล่ทอง

เหรียญหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค รุ่น2 ปี 2512 ผิวไฟ
เหรียญหลวงพ่อเพชร วัดไทรโยค รุ่น ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เนื้อทองแดง

         ด้านหน้า เป็นรูปเหมือนหลวงพ่อเพชร นั่งเต็มรูป ด้านบนรูปเหมือนเป็นอักขระขอมอ่านได้ว่า "นิมิตตัง สาธุรูปนัง กตัญญูกตเวทิตา"’ ด้านล่างรูปเหมือนเป็นอักษรไทยว่า "หลวงพ่อวัดไทรโยค ปุญฺญชรเพชร พ.ศ. ๒๔๘๒" คำว่า เพชร ไม่มีไม้ไต่คู้

         ด้านหลัง แกะเป็นลวดลายมณฑปครอบ บรรจุอักขระขอมว่า "อะระหัง ติตัง วิปัสสนา นิ พา ระนัง อาระ ราโหติ"


เกร็ดความรู้

         วัดกลางใต้ ปัจจุบันเป็นวัดร้าง ส่วนตำบลไทรโยคนั้น มีความเป็นมาคือ แต่เดิมบริเวณตำบลบางกุ้งเป็นหมู่บ้านเรียกกันว่า ‘บ้านบางกุ้ง’ เพราะแต่ก่อนในหมู่บ้านย่านนี้มีกุ้งชุกชุมมาก ชาวบ้านจึงประกอบอาชีพดักกุ้งมาทำกะปิขาย ต่อมาเมื่อมีจำนวนประชากรและครัวเรือนมากขึ้นจึงตั้งเป็นตำบลบางกุ้ง และเป็นตำบลใหญ่ตำบลหนึ่งในสมัยนั้น ต่อมาทางราชการได้แยกตำบลนี้เป็น ๒ ตำบล

         โดยกำหนดให้ทางทิศเหนือตั้งแต่คลองหมื่นขจรขึ้นไปเรียกว่า ‘ตำบลไทรโยค’ โดยเรียกตามชื่อวัดหนึ่งซึ่งมีต้นไทรขึ้นอยู่ริมน้ำ ชาวบ้านเรียกว่า ‘วัดไทรโยค’ (ปัจจุบันคือวัดตรีจินดาวัฒนาราม) มีกำนันประจำตำบลคือ ‘ขุนสิทธิไทรโยค (เชย)’ ส่วนทางทิศใต้กำหนดตั้งแต่คลองหมื่นขจรลงมาถึงคลองแควอ้อม เรียกว่า ‘ตำบลวัดโบสถ์’ กำนันตำบลชื่อ ‘ขุนวัดโบสถ์บัญชร (พรหมดำรง)’ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ จึงยุบให้เป็นตำบลเดียวกันเรียกว่า ‘ตำบลบางกุ้ง’.
 
 

โดย : สารานุกรม​พระเครื่อง​ลุ่ม​น้ำแม่กลอง

บทความที่เกี่ยวข้อง


***-[เป็นกำลังใจและสนับสนุน​ให้เราเขียนบทความดีๆ ช่วยกดดูโฆษณาด้านล่างนะคะ]-***

ไม่มีความคิดเห็น

ค้นหาบล็อกนี้