โฆษณาแนวนอน728*90

บทความใหม่

ประวัติเจดีย์ยุทธหัตถี กาญจนบุรี และเหรียญสมาคมชาวกาญจนบุรี

เจดีย์ยุทธหัตถี  พนมทวน กาญจนบุรี
เจดีย์ยุทธหัตถี  พนมทวน กาญจนบุรี

         เจดีย์ยุทธหัตถี เป็นเจดีย์ที่ชาวบ้านกาญจนบุรีเชื่อว่าเป็๋นเจดีย์ยุทธหัตถี ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างขึ้นหลังจากที่พระองค์ ทรงกระทำยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชา กษัตริย์ของพม่า เจดีย์ดังกล่าว ตั้งอยู่ที่บ้านดอนเจดีย์ หมู่ที่ ๒ ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี 

         เรื่องของเจดีย์ยุทธหัตถีนั้น สืบเนื่องจากพระประสงค์ของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ที่ทรงพยายามสืบค้นถึงสถานที่ตั้งของเจดีย์ยุทธหัตถีในช่วงสมัยปลายรัชกาลที่ ๕ 

         โดยอาศัยพงศาวดารฉบับนายพัน ชลุมาส แต่หาบ้านตะพังตรุไม่เจอ เพราะเป็นชื่อ จนมาพบเจดีย์ บ้านดอนเจดีย์ กาญจนบุรี แต่เมื่อพบแล้ว ไม่เชื่อว่าใช่ เพราะมีขนาดเล็ก

         จนล่วงเข้าสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ การค้นหาอย่างจริงจังจึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ด้วยแรงบันดาลใจจากพงศาวดารฉบับใหม่ที่ค้นพบของหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ (แพ ตาละลักษมณ์)

         ผู้มีหน้าที่รวบรวมหนังสือเก่า เข้าเก็บไว้ในหอสมุดของพระนคร หลวงประเสริฐฯ ได้รับหนังสือโบราณ เล่มหนึ่ง ที่เขียนด้วยตัวอักษรโบราณโดยบังเอิญ ขณะที่ยายแก่คนนึงในจังหวัดเพชรบุรี กําลังจะนําไปเผาไฟทิ้ง

         หลวงประเสริฐ จึงนําหนังสือโบราณนั้นกลับมายังพระนคร และนําขึ้นถวายแด่ สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ซึ่งต่อมาหนังสือโบราณเล่มนี้ ได้กลายเป็นพงศาวดารที่นักประวัติศาสตร์ไทยต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีว่า "พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์"

         พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ได้ให้เค้าลางใหม่ของที่ตั้งเจดีย์ยุทธหัตถี โดยระบุว่าทัพของพระมหาอุปราชาฯ ตั้งอยู่ที่ ณ ตําบลตระพังตรุ แล้วมากระทํายุทธหัตถีกับพระนเรศ ณ ตําบลหนองสาหร่าย แต่พงศาวดารก็ไม่ได้บอกอีกว่าตําบลหนองสาหร่าย ตั้งอยู่ ณ เมืองใด

         จากพระวินิจฉัยของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงเห็นว่าตําบลหนองสาหร่าย น่าจะอยู่ในเขตแขวงเมืองสุพรรณบุรี และน่าจะเป็นที่ตั้งของเจดีย์ยุทธหัตถีที่หายสาปสูญไปจึงโปรดให้พระยาสุพรรณบุรี (อี้ กรรณสูต) ผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณดําเนินการค้นหาเจดีย์ดังกล่าว

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

         ต่อมาในยุคจอมพลปอ พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านได้สร้างเจดีย์ครอบเจดีย์ยุทธหัตถี สุพรรณบุรี และสถาปนาเป็นอนุสรณ์ดอนเจดีย์ยุทธหัตถี

         แม้ทางราชการและกรมศิลปากรจะสรุปยืนยันแล้วว่า เจดีย์ยุทธหัตถีที่จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นของแท้แน่นอน แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็มีความเห็นว่า "สรุปง่ายเกินไป"

         เพราะยังมีเจดีย์โบราณที่ทรุดโทรมสึกกร่อน เอียงคดงอ อีกองค์หนึ่ง อยู่ที่ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ที่ชาวบ้านในย่านนั้นมีความเชื่อกันว่า เจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์ยุทธหัตถีที่สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างไว้บริเวณชนช้าง เพราะมีสภาพแวดล้อมหลักฐานหลายอย่างที่น่าเชื่อถือ

         ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นสพ.รายวันลงข่าว พบพระเจดีย์ยุทธหัตถีองค์จริงอยู่ที่พนมทวน กาญจนบุรี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาและเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ได้เสด็จไปทอดพระเนตรพระเจดีย์และพระปรางค์ที่อยู่ห่างไปราว ๒๐๐-๓๐๐ เมตร เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๕

         ต่อมาวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาและเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ได้เสด็จมาแวะขณะกลับจากพระราชกรณียกิจที่อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี

         หลังจากนั้น ตอนที่ในหลวงท่านมาประทับที่เขื่อนวชิราลงกรณ์ ท่านก็ขับรถมาด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครติดตามมาเลย

         นายมนูญ เสริมสุข ชายวัยราว ๔๐ คนพื้นที่ ซึ่งตอนนั้นขายเครื่องดื่มและไอศกรีมอยู่ข้างวงเวียนเจดีย์ ให้ข้อมูลกับผู้เขียนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๒  ว่า…

         ท่านมาจอดรถถามคนที่ทุ่งสมอว่า เจดีย์ยุทธหัตถีไปทางไหน เขาก็ชี้ทางให้ พอท่านไปแล้วไอ้คนที่ถูกถามก็มองตามไปอย่างงงๆ ว่าหน้าเหมือนในแบงก์ 

         ท่านมาถึงก็เดินดูพระเจดีย์และคุยกับเด็กที่เลี้ยงควายอยู่แถวนั้น คุยกันซักพักพอไอ้หมอนั่นจำได้ว่าเป็นในหลวง ก็ทรุดลงนั่งพูดอะไรไม่ออกเลย ตอนนี้เด็กเลี้ยงควายนั่นเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่นี่

         ท่านผู้เฒ่า ๒ คนซึ่งอยู่บนศาลสมเด็จพระนเรศวร ข้างวงเวียน ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง แถวนี้ยังเต็มไปด้วยกองกระดูกทั้งคน ช้าง ม้า เกลื่อนอยู่บนดิน เหมือนไม่มีการฝัง ตายก็ปล่อยให้เน่าเปื่อยอยู่อย่างนั้น 

         และที่พระปรางค์ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางหลังศาล ก็มีกระดูกกองใหญ่เหมือนรวบรวมเอามาไว้ที่นั่นได้จำนวนหนึ่ง 

         ในดินนอกจากขุดพบกระดูกช้าง ม้า และกระดูกคนมากมายแล้ว ยังพบเครื่องศัตราวุธและเครื่องช้างศึกม้าศึก เช่น หอก ดาบ ยอดฉัตร โกลนม้า ขอสับช้าง โซ่ล่ามช้าง แป้นครุฑจับนาค แป้นครุฑขี่สิงห์จับนาค ซึ่งแสดงว่าสถานที่นี้ต้องเป็นที่ทำสงครามครั้งใหญ่

         นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอีกหลายอย่างที่อ้างว่า เจดีย์ยุทธหัตถีของอำเภอพนมทวนเป็นของแท้ อย่างเช่น

          บรรดาชื่อตำบลต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเกี่ยวกับยุทธหัตถีครั้งนี้ ล้วนแต่มีอยู่ในอำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรีทั้งนั้น อย่างเช่น หนองสาหร่าย ตะพังตรุ โดยเฉพาะพงศาวดารหลายฉบับระบุชัดว่าชนช้างกันที่ตะพังตรุ มีแต่พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ ฉบับเดียวบอกว่าชนช้างที่หนองสาหร่าย

         พงศาวดารฉบับอื่นๆ ระบุว่าสมเด็จพระนเรศวรตั้งทัพที่หนองสาหร่าย แล้วทรงทำยุทธหัตถีที่ตะพังตรุ ซึ่งหนองสาหร่ายที่พนมทวนห่างจากองค์เจดีย์ที่พนมทวนราว ๑๖-๑๗ กม. 

         ชาวดอนเจดีย์เคยวิ่งทดสอบกันมาแล้ว ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง ซึ่งเป็นไปได้ที่ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรกำลังตกมันจะได้กลิ่นช้างของพระมหาอุปราชาแล้วพุ่งเข้าไปหา 

         แต่ถ้าพระมหาอุปราชามาชุมนุมพลที่ตะพังตรุ อำเภอพนมทวน แล้วไปชนช้างกับสมเด็จพระนเรศวรที่หนองสาหร่าย สุพรรณบุรี ซึ่งห่างไป ๙๐ กม.ตามที่พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้

         หลังจากสมเด็จพระนเรศวรฟันพระมหาอุปราชาขาดคาคอช้างแล้ว พงศาวดารว่ากองทัพไทยตามไปทันพอดี จึงไล่ฆ่าฟันทหารพม่าอย่างมันมือไปถึงเมืองกาญจน์ ตายไป ๒๐,๐๐๐ คน จับช้างใหญ่สูง ๖ ศอกได้ ๓๐๐ เชือก ช้างพลายพัง ๕๐๐ เชือก ม้าอีก ๒,๐๐๐ เศษ

         ระยะทางจากดอนเจดีย์ พนมทวน ไปถึงเมืองกาญจน์ประมาณ ๑๗ กม. ไล่ล่ากันในวันเดียวจึงเป็นไปได้ แต่ถ้าไล่ล่ากันจากเจดีย์ยุทธหัตถีที่สุพรรณบุรีถึงเมืองกาญจน์กว่า ๑๐๐ กม. กี่วันจะถึง

         เส้นทางเดินทัพทั้งของพม่าและของไทยที่เข้าออกทางด่านเจดีย์สามองค์ จะต้องผ่านมาทางทุ่งลาดหญ้า เขาชนไก่ (เมืองกาญจน์เก่า) ปากแพรก พนมทวน (บ้านทวน) อู่ทอง สุพรรณบุรี ป่าโมก อยุธยา ไฉนจะไปชนช้างกันที่ศรีประจันต์นอกเส้นทาง

         ในพงศาวดารฉบับ "วันวลิต" ได้บันทึกไว้ว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาที่ใกล้วัดร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งที่พนมทวนห่างพระเจดีย์ไป ๑.๕ กม.ก็มีโบสถ์เก่า เจดีย์เก่าอยู่ที่วัดน้อยในปัจจุบัน

         อีกทั้งพื้นที่เจดีย์ยุทธหัตถีพนมทวนเป็นที่ดอนดินทราย หมู่บ้านที่ติดกับองค์เจดีย์ก็มีชื่อว่าหมู่บ้านหลุมทราย บริเวณแถบนี้ล้วนเป็นดินทราย จึงเกิดฝุ่นผงคลีดินฟุ้งกระจายจนมืดมิดตามบรรยากาศในวันทรงทำยุทธหัตถีได้

         แต่พงศาวดารพม่าของนายอู กาลา ที่เขียนในยุคใกล้เคียงกับช่วงครองราชของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือที่แปลเป็นไทยคือพงศาวดารฉบับขอแก้ว ระบุว่าสถานที่ชนช้างนั้นเกิดที่ชานพระนคร ซึ่งหมายถึงกรุงศรีอยุธยานั่นเอง

        บันทึกยังระบุถึงการสู้รบครั้งนั้นว่า ช้างของพระมหาอุปราชถูกช้างของสมเด็จพระเนรศวร แทงบาดเจ็บหลายแผล จนช้างของพระมหาอุปราชทรุดตัวต่ำกว่าช้างของสมเด็จพระเนรศวร และตัวของพระมหาอุปราชไม่ได้ถูกพระแสงของ้าวจนขาดสะพายแร่ง แต่ถูกยิงจากสงครามที่ชุลมุน จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง ทัพพม่าจึงล่าถอยไป

         นอกจากนี้ยังมีบันทึกของนายเยเรเมียส ฟาน ฟลีต (ดัตช์: Jeremias van Vliet; ค.ศ. ๑๖๐๒ - ๑๖๖๓) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า "วัน วลิต" พ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์ ของบริษัทดัตช์อีสต์อินเดีย ซึ่งเป็นบันทึกเก่าแก่ ซึ่งนายเยอรมิส ฟานฟริส ที่เข้ามาอยู่ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง นานถึง ๙ ปี ราวปี พ.ศ. ๒๑๘๓ ห่างจากสงครามยุทธหัตถี ๔๘ ปี ระบุว่า

         กษัตริย์กรุงสยาม รู้ว่าพม่าบุก จึงยกทัพไปที่วัดร้างแห่งหนึ่ง เรียกว่า "เครง" หรือ "หนองสาหร่าย" ห่างจากกำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา ๑๒๐ เส้น หรือ ครึ่งไมลล์ นอกกำแพงเมืองตอนเหนือของกรุงฯ เพื่อจะรับศึกกับกองทัพพม่า และสถานที่สร้างเจดีย์ยุทธหัตถี น่าจะสร้างในบริเวณดังกล่าว.

วัตถุมงคลของสมาคมชาวกาญจน์

         เหรียญสมาคมชาวกาญจนบุรี

         สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เพื่อแจกให้กับผู้บริจาคทรัพย์สร้างและบูรณะเจดีย์ยุทธหัตถี จังหวัดกาญจนบุรี พิธีปลุกเสกจัดขึ้นที่วัดทุ่งสมอ กาญจบุรี ซึ่งมีหลวงพ่อเบี่ยงเป็นเจ้าอาวาส ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปวงกลมแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อเงิน เนื้อนาค เนื้ออัลปาก้า และเนื้อทองแดง จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้

เหรียญสมาคมชาวกาญจน์ กาญจนบุรี ปี 2516 เงิน
เหรียญสมาคมชาวกาญจน์ กาญจนบุรี ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เนื้อเงิน

เหรียญสมาคมชาวกาญจน์ กาญจนบุรี ปี 2516 อัลปาก้า
เหรียญสมาคมชาวกาญจน์ กาญจนบุรี ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เนื้ออัลปาก้า
เหรียญสมาคมชาวกาญจน์ กาญจนบุรี ปี 2516 ทองแดง
เหรียญสมาคมชาวกาญจน์ กาญจนบุรี ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เนื้อทองแดง

         ด้านหน้า มีรูปจำลองพระพุทธรูปปางสมาธิประทับนั่งบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย ด้านหลังองค์พระมีรูปพระเจดีย์ ๓ องค์ ด้านบนองค์พระมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "ที่ระลึกมหากุศลดอนเจดีย์"

         ด้านหลัง มีรูปจำลองการชนช้างของสมเด็จพระเนรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราช ที่ขอบเหรียญมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "สมาคมชาวกาญจนบุรี ๑๔ พ.ค. ๒๕๑๖"


โดย : สารานุกรมพระเครื่องลุ่มน้ำแม่กลอง

บทความที่เกี่ยวข้อง


***-[เป็นกำลังใจและสนับสนุน​ให้เราเขียนบทความดีๆ ช่วยกดดูโฆษณาด้านล่างนะคะ]-***

ไม่มีความคิดเห็น

ค้นหาบล็อกนี้